เผย 5 สาเหตุที่ทำให้ Body Battery หรือแบตเตอรี่ร่างกายของคุณหมดเร็ว
ยิ่งเราใช้โทรศัพท์มากเท่าไหร่ แบตก็ยิ่งหมดเร็วเท่านั้น ร่างกายของเราก็เหมือนกัน ยิ่งเราเครียดหรือว่ายิ่งแอคทีฟมากเท่าไร พลังงานสำรองของร่างกายก็ยิ่งถูกใช้หมดเร็วเท่านั้น
คุณสมบัติ Body Battery™ใหม่ หรือแบตเตอรี่ร่างกายของเรา นำเสนอโดยการวิเคราะห์ของ Firstbeat ทำให้คุณเห็นได้ว่าพลังงานสำรองที่ยังเหลืออยู่มีเท่าไหร่ และยังทำให้คุณสามารถเชื่อมความสัมพันธ์กันระหว่างความเครียด การพักผ่อน การนอนหลับ และกิจกรรมที่ทำ ซึ่งยิ่งจำนวนคะแนน Body Battery สูงมากเท่าไหร่ (0-100) นั่นหมายถึงความสามารถที่ร่างกายของคุณจะสามารถโฟกัส และฟื้นฟูจากความท้าทายต่างๆได้เร็วยิ่งขึ้น
การนอนหลับและพักผ่อนเป็นการชาร์จ Body Battery ให้กับร่างกายของคุณ และในทางกลับกันการออกกำลังกายและความเครียด ไม่ว่าส่งผลบวกหรือลบต่อร่างกาย ต่างก็เผาผลาญพลังงานสะสมและทำให้ Body Battery นั้นต่ำลง
วิทยาศาสตร์เบื้องหลังของการวิเคราะห์ Body Battery จาก Firstbeat บริษัทผู้คิดค้นและค้นคว้าการคำนวนค่าทางสรีรวิทยาต่างๆ เปิดเผยว่า Body Battery อ้างอิงจาก การเปลี่ยนแปลงของทุกจังหวะการเต้นหัวใจของคุณ แสดงให้เห็นถึงปฏิกิริยาที่มีต่อกันระหว่างสาขาของระบบประสาทออโต้โนมิคคือประสาทซิมพาเทติก (การตอบสนองโดยสู้หรือหนี) และประสาทพาราซิมพาเทติก (พักผ่อนและย่อยอาหาร)
ด้วยการผสานค่าการวัดความเครียด การพัก และการนอนหลับที่ส่งผลต่อร่างกายในด้านกายภาพ Body Battery จะสามารถบอกข้อมูลเชิงลึกว่าร่างกายของคุณตอบสนองต่อความท้าทายต่างๆ ในชีวิตอย่างไรบ้าง
ร่างกายถูกออกแบบมาเพื่อใช้งาน
ก็เหมือนกับโทรศัพท์ที่มีไว้ใช้งาน ไม่มีเหตุผลที่เราจะถนอมแบตเตอรี่ไว้ด้วยการไม่ใช้ ร่างกายก็เหมือนกัน เราควรออกกำลังทั้งร่างกายและจิตใจในระดับที่เหมาะสมกำลังดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป
การมีสุขภาพดีไม่ได้หมายถึงการมีแบตเตอรี่เต็มอยู่เสมอตลอดทั้งวัน แบตเตอรี่ร่างกายควรมีการใช้ในระหว่างวันในระดับที่เหมาะสม
เมื่อแบตเตอรี่ร่างกายเต็ม เราควรหาโอกาส หากิจกรรม หรืองานที่ท้าทายร่างกายของคุณ ใช้พลังงานทำเรื่องต่างๆ ให้สำเร็จเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจ และในช่วงกลางคืน พักผ่อนให้เพียงพอ หลับให้สนิทเพื่อชาร์จพลังงานให้แบตเต็มเหมือนเดิม
แน่นอนว่าเราทุกคนต่างก็มีหน้าที่ความรับผิดชอบ งาน ความสนใจ สภาพทางร่างกายและจิตใจแตกต่างกัน และมีข้อจำกัดที่ไม่เหมือนกัน แบตเตอรี่ร่างกายช่วยให้คุณเห็นจุดที่เพิ่มความกดดันให้ร่างกาย เราควรค่อยๆ เปลี่ยนแปลงจุดนั้นทีละน้อยเพื่อสมรรถภาพร่างกายที่ดีขึ้นและช่วยแนะแนวทางให้คุณโฟกัสเรื่องที่คุณต้องใส่ใจเป็นพิเศษ
- แบตเตอรี่ร่างกายชาร์จตามปกติช่วงกลางคืน
- การทำงานและการออกกำลังกายช่วงเย็นใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ของร่างกาย
- การนอนหลับให้สนิทคือการชาร์จแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพช่วงกลางคืน
- โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันที่งานเครียดมากแล้วไปออกกำลังกายต่อช่วงเย็น ยิ่งใช้พลังงานแบตเตอรี่เป็นอย่างมาก
- หากทำกิจกรรมหนักมากเกินไปช่วงกลางวันจะทำให้ประสิทธิภาพในการชาร์จช่วงกลางคืนลดน้อยลง
- การงีบหลับช่วงบ่ายช่วยเพิ่มพลังงานได้อย่างมาก
- วันพักผ่อนจะใช้พลังงานช่วงกลางวันน้อยกว่าและทำให้ประสิทธิภาพในการชาร์จแบตช่วงกลางคืนดีกว่า
- ดื่มแอลกอฮอล์
- การเผาผลาญแอลกอฮอล์ในร่างกายทำให้การพักผ่อนด้อยคุณภาพลงและทำให้การชาร์จแบตประสิทธิภาพลดลงด้วยเช่นกัน
5 สาเหตุที่ทำ Body Battery ของคุณหมดอย่างรวดเร็ว
เมื่อแบตเตอรี่ร่างกายลดลงเป็นบางครั้งคราว ไม่ได้หมายความว่าร่างกายทำงานผิดปกติแต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณเข้าใจเหตุผลเป็นอย่างดีว่าทำไมถึงรู้สึกหมดแรง แต่ถ้าคุณหมดแรงบ่อยๆ อาจจะถึงเวลาที่จะต้องปรับเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันและไลฟ์สไตล์ วันนี้ Garmin จะมาเปิดเผย 5 เรื่องที่คุณควรสังเกต
1. กิจวัตรประจำวันของคุณมีความท้าทายสูง ความเครียดนั้นสำคัญมาก โดยเฉพาะถ้าคุณเครียดมาก ทำงานยุ่งช่วงกลางวัน รีบไปรับลูกให้ทัน จากนั้นก็ไปออกกำลังกายหนัก Body Battery ของคุณจะหมดก่อนเข้านอน ถึงแม้ว่าจะรู้สึกดีแต่พึงทราบไว้ว่ากิจกรรมที่หนักเกินไประหว่างวันทำให้ร่างกายแบตหมดเร็ว การเล่นกับลูกหรือไปคอนเสิร์ตมันๆ เป็นกิจกรรมที่สนุก แต่ก็อาจจะเหนื่อยมากอย่างคาดไม่ถึง
2. นอนไม่พอ การหลับสนิททั้งคืนเป็นการชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มที่ดีสุด การที่ตื่นนอนมาแล้วมีแบต 90% หรือ 60% นั้นแตกต่างกันอย่างมาก ดังนั้นเราจึงควรปรับปรุงกิจวัตรการนอนหลับเพื่อทำให้นอนหลับสนิทขึ้น ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถใช้งาน Body Battery ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. ระดับความแข็งแรง ยิ่งสุขภาพดีก็ยิ่งหมายถึงว่าคุณจะสามารถจัดการความเครียดทางร่างกายและจิตใจได้ดีขึ้น จากการวัดมาตรฐานฟิตเนสแบบคาร์ดิโอ VO2 max ของคุณคือปัจจัยสำคัญ เมื่อคุณมีสุขภาพดี การเดินออกกำลังกายสั้นๆ อาจจะมีผลต่อ Body Battery แค่เพียงเล็กน้อย แต่หากคุณไม่ค่อยแข็งแรง เดินนิดหน่อยก็อาจทำให้ระดับ Body Battery ตกฮวบ ดังนั้นยิ่งระดับ VO2 max ของคุณยิ่งสูง คุณก็ยิ่งทนทานกับกิจกรรมที่ใช้พลังงานมากโดยที่ Body Battery ไม่ลดลงเท่าไหร่
ทางจิตใจก็เช่นกัน ยิ่งระดับคาร์ดิโอดี ยิ่งสามารถจัดการกับปัญหาและความเครียดได้ดี ลดอาการเบิร์นเอาท์ (Gerber et al., 2013) ได้มากกว่า คนที่ฟิตกว่าก็จะเครียดน้อยกว่าเมื่อทำงานและฟื้นตัวได้เร็วกว่าเมื่อพักผ่อนช่วงกลางคืน (Teisala et al., 2014)
จะเห็นได้ว่าการออกกำลังกายทำให้ Body Battery ของคุณลดลงเพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่การออกออกกำลังกายเป็นประจำจะส่งผลดีในระยะยาวและทำให้ Body Battery ใช้งานได้นานขึ้น
4. ดื่มแอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์คือปัจจัยใหญ่ที่ทำให้ร่างกายเครียด ความเครียดที่เกิดจากการที่ร่างกายต้องเผาผลาญแอลกอฮอล์ทำให้ Body Battery ของคุณหมดเร็วและลดประสิทธิภาพในการนอนหลับซึ่งหมายถึงคุณจะชาร์จได้ช้าลง งานวิจัยหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้แสดงให้เห็นว่าถึงแม้ว่าจะดื่มแค่แก้วเดียวแต่ก็ส่งผลเสียต่อคุณภาพการนอนหลับ (Pietilä et al., 2018) การไม่ดื่มก่อนนอนจะช่วยให้คุณชาร์จ Body Battery ได้ดีขึ้น
5. คุณคือคนพิเศษ แต่ละคนก็มีสภาพร่างกายที่แตกต่างกันไป เราสามารถจัดการกับความเครียดและกิจกรรมชนิดต่างๆ ในสถานการณ์ต่างๆ ได้แตกต่างกันอย่างมาก หลังจากที่ทำงานช่วงกลางวันมาหนักเท่าๆ กัน Body Battery ของคนหนึ่งอาจจะใกล้หมดเต็มที แต่ของอีกคนหนึ่งอาจจะเหลืออีกตั้งครึ่งหลอด การขับรถก็เช่นกัน คนหนึ่งอาจจะเครียดมากเมื่อต้องขับรถ ในขณะที่อีกคนหนึ่งสบายๆ ทำให้ระดับ Body Battery ลดลงต่างกัน คนหนึ่งลดมาก อีกคนหนึ่งแทบไม่ลดเลย
Body Battery™ จะบอกข้อมูลเชิงลึกว่าร่างกายของคุณมีความสามารถในการจัดการมากเพียงใด ช่วยให้เพิ่มความเครียดและพักฟื้นได้ถูกต้องตามสถานการณ์มากขึ้น และยังช่วยให้หลับสนิทมากขึ้นหลังจากทำงานหรือออกกำลังกาย ดังนั้นอย่าลืมเริ่มสังเกต Body Battery ของคุณตั้งแต่วันนี้เพื่อเข้าใจชีวิตประจำวันให้ดียิ่งขึ้น และปรับปรุงร่างกายของคุณให้แข็งแรงกว่าเดิม